วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560

อาหารมีประโยชน์น่าทาน

อาหารเพื่อสุขภาพในวัยทำงาน
      
อาหารธรรมชาติ  
      อาหารธรรมชาติ คือ อาหารที่ได้จากธรรมชาติ ไม่มีสารพิษและสิ่งแปลกปลอมเจือปน ไม่ผ่านกระบวนการปรุงอันซับซ้อน
       ผู้คนที่กินอาหารธรรมชาติ เรียกชื่ออาหารประเภทนี้ต่างกันออกไป เช่น อาหารมังสวิรัติ อาหารเจ อาหารเพื่อสุขภาพ เป็นต้น แต่ทั้งหมดก็คือการรับประทานอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ทุกชนิด จะมีข้อแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยไปตามความนิยม หลักการ ความเชื่อถือของชนในแต่ละกลุ่ม
 >>>เราจัดกลุ่มของผู้บริโภคอาหารธรรมชาติเป็น ๓ ลักษณะดังนี้...
>>>๑. ประเภทที่กินแต่พืช ผัก ผลไม้ล้วนๆ (VEGAN) ได้แก่ ผู้ที่รับประทานอาหารเฉพาะผักผลไม้ ข้าว งา เมล็ดธัญญพืช ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ บรรดานักบวชโยคีในอินเดียซึ่งรับประทานแต่อาหารที่ไม่ผ่านความร้อนใดๆ และคนที่กินอาหารเจซึ่งไม่รับประทาน พืชผักบางชนิด เช่น กระเทียม หัวหอม ก็จัดอยู่ในประเภทนี้

>>>๒. ประเภทที่กินพืช ผัก ผลไม้ทุกชนิด (LACTO VEGETARIAN) และผลิตผลจากสัตว์บางชนิด เช่น น้ำผึ้ง นม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย นมเปรี้ยว เป็นต้น

>>>๓. ประเภทที่กินพืชผักผลไม้ทุกชนิด และกินนม ผลิตภัณฑ์จากนม (LACTO OVO VEGETARIAN) น้ำผึ้งและรับประทานไข่ร่วมด้วย
 >>>แต่อาหารทั้ง ๓ ประเภทนี้ จะต้องไม่มีจากเนื้อสัตว์และน้ำมันจากสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่ถูกนำมาฆ่าหรือที่ตายเอง แล้วนำมาปรุงเป็นอาหารโดยเด็ดขาด

1. อาหารลดคอเลสเตอรอล

      การควบคุมระดับคอเลสเตอรอล นอกจากจะสามารถใช้ยาในการรักษาได้แล้วนั้น การรับประทานอาหารบางชนิดก็สามารถช่วยทำให้ระดับคอเลสเตอรอลอยู่ในระดับปกติได้อีกด้วย


1.1 น้ำมันมะกอกและผลิตภัณฑ์จากมะกอก

          น้ำมันมะกอกเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่่ยวและวิตามินอี ซึ่งมีการวิจัยพบว่า อาหารที่มีระดับของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดียวสูงนั้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ในเลือด และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ในเลือดได้
    


1.2 พืชตระกูลถั่ว

          พืชตระกูลถั่วเป็นพืชที่มีใยอาหารสูง ไขมันน้อย อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ เช่น แร่ธาตุ, วิตามินบี ไม่มีคอเลสเตอรอล และยังเป็นพืชที่มีระดับดัชนีน้ำตาลต่ำ ซึ่งสารอาหารต่าง ๆ ที่อยู่ในถั่วนั้นช่วยบำรุงหัวใจและช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี โดยในประเทศแอฟริกาใต้หน่วยงานที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกบริโภคอาหารยังได้แนะนำให้รับประทานถั่วอย่างสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพที่ดี ถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ มีใยอาหาร ชนิดละลายน้ำได้สูง ใยอาหาร ชนิดนี้ จะช่วยลด LDL cholesterol ถั่วมีสาร ซาโปนิน ( Saponin ) ซึ่งจะจับกับ คอเลสเตอรอล ในลำไส้ และขจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ ถั่วดังกล่าว ยังมีโปรตีนสูง ใช้แทนเนื้อสัตว์ใหญ่ได้ เพื่อเป็นแหล่ง ของโปรตีน การลดเนื้อสัตว์ใหญ่ ก็จะช่วยลดปริมาณ ไขมันอิ่มตัว ที่ร่างกายจะได้รับ

          ผลิตภัณฑ์ ถั่วเหลือง มีสารไฟโทเอสโทรเจน ที่ช่วยลด LDL cholesterol และทำให้สัดส่วนของ คอเลสเตอรอล โดยรวม และ HDL cholesterol ดีขึ้น มีผลในการป้องกัน โรคหัวใจ ถั่วเหลือง มีโปรตีน มากกว่าถั่วอื่นๆ และการกินโปรตีนถั่วเหลือง วันละ 25 กรัม จะช่วยลด ความเสี่ยงของการเกิด โรคหัวใจ โดยช่วยลด LDL cholesterol ได้ประมาณ ร้อยละ 5 – 6 เปอร์เซ็นต์ ต่อมิลลิกรัม ต่อเดซิลิตร

          ถั่วต่างๆ มีแมกนีเซียม สูงมาก โดยเฉพาะถั่วดำ การวิจัยจาก มหาวิทยาลัยแพทย์ ในแคลิฟอร์เนียใต้ ( Medical University of South California ) พบว่า ผู้ที่กิน แมกนีเซียม จากอาหารไม่เพียงพอ มีโอกาสถึง สองเท่า ที่จะมีระดับ CRP ในเลือดสูง  ( CRP เป็นสาร ที่บ่งชี้ถึง การอักเสบ ในร่างกาย)


 1.3 โยเกิร์ตและผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่มีไขมัน

          ผลิตภัณฑ์จากนมและชีสส่วนใหญ่มักจะมีไขมันอิ่มตัวสูงซึ่งผู้มีระดับคอเลสเตอรอลสูงควรจะหลีกเลี่ยง แต่ก็ไม่ควรเลิกกินอาหารประเภทชนิดนี้ไปเลย เพราะผลิตภัณฑ์จากนมนั้นมีแคลเซียมและแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย ดังนั้นหากต้องการหลีกเลี่ยงคอเลสเตอรอลก็ควรเปลี่ยนมากินผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันต่ำหรือปราศจากไขมันแทน โดยเฉพาะโยเกิร์ตไขมันต่ำ เพราะโยเกิร์ตชนิดนี้เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและจุลินทรีย์แลคโตบาซิลัสซึ่งช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

1.4 ผักและผลไม้

          ผักและผลไม้เป็นแหล่งของ ใยอาหาร สารฟลาโวนอยด์ สารแอนติออกซิแดนต์ วิตามิน และเกลือแร่ อีกหลายชนิด ที่ช่วยลด LDL cholesterol ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และยังมีพลังงานต่ำ ช่วยในการ ควบคุมน้ำหนักตัว ได้อีก แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและริ้วรอยก่อนวัยได้ด้วย นอกจากนี้ในผักผลไม้ยังมีแร่ธาตุและสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น วิตามินซี และ เบต้า-แคโรทีนอีกด้วย
                                                       
                                                                                                                                         วิตามีนซีมีมากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว (ส้ม, มะนาว, ส้มโอ และส้มแมนดาริน ), ในพืชตระกูลเบอร์รี (แครนเบอร์รี, สตรอว์เบอร์รี, แบลคเบอร์รี และอื่น ๆ), ฝรั่ง, แตงเมล่อน, มะม่วง และผักที่เป็นหัวได้แก่ กะหล่ำปลี, ผักกาดขาว,บรอกโคลี นอกจากนี้ยังมีในพริกอีกด้วย             ส้ม และแอปเปิ้ล มีใยอาหาร ละลายน้ำ ชนิดเพกทิน ( Pectin ) สูง ซึ่งช่วย ควบคุม คอเลสเตอรอล ได้ดี ส่วนใน เชอร์รี่ บลูเบอร์รี่ มีสาร แอนโทไซยานิน มาก ซึ่งสารชนิดนี้ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยับยั้ง เอนไซม์ ที่ทำให้พลัค หรือตะกรัน ในหลอดเลือดแตก ผลไม้ไทยเรา ก็มีสาร ฟลาโวนอยด์ สารแอนติออกซิแดนต์ สูง เช่น มะละกอสุก ฝรั่ง แตงโม กล้วยไข่ มะม่วงสุก มะปราง มะยงชิด เป็นต้น  ส่วนเบต้า-แคโรทีน นั้นมีมากอยู่ในผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองเข้ม อย่างเช่น แอปริคอท, ลูกพีชสีเหลือง, แตงเมล่อน, มะม่วง, ฟักทอง, มันเทศ, ฟักบัตเตอร์นัท, แครอท และผักที่มีสีเขียวเข้ม ได้แก่ บรอกโคลี กะหล่ำ และผักโขม เป็นต้น
       
         ผักใบเขียวจัด เป็นแหล่งอาหาร ที่มีโพแทสเซียมสูง ( เกือบ 1,000 มิลลิกรัม ต่อถ้วย ) มีแคลเซียม และแมกนีเซียมสูง ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่ช่วยป้องกัน ความดันโลหิตสูง ได้ ( ร่างกายคนเรา ต้องการ โพแทสเซียม ประมาณวันละ 4,000 มิลลิกรัม ในการช่วยลด ความดันโลหิต ) กินผักในตระกูล ครูซิเฟอรัส ทุกวัน ได้แก่ ผักคะน้า บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ แขนงผัก กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง ผักประเภทนี้ มีพลังงานต่ำ บรอกโคลีสุก ครึ่งถ้วย ให้พลังงาน 27 กิโลแคลอรี่ นอกจากจะให้ ใยอาหาร แล้ว ยังให้สารอาหารหลายๆ ชนิด ที่ช่วยลด LDL cholesterol และป้องกัน โรคหัวใจ ได้ด้วย
         
           สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจหรือมีระดับคอเลสเตอรอลสูงนั้นควรจะรับประทานผักผลไม้อย่างน้อยห้าส่วนต่อวัน

 1.5 กระเทียมและพืชในตระกูลหัวหอม

          กระเทียม หัวหอมแดง และหัวหอมใหญ่ เป็นพืชที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้และช่วยบำรุงหัวใจ ซึ่งถูกใช้กันมาอย่างแพร่หลายนับศตวรรษ โดยส่วนใหญ่มักจะนำไปประกอบอาหารชนิดต่าง ๆ และทานในสลัดผักสด

          นักวิจัยเชื่อว่าอาหารในแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่มีการใส่กระเทียมเยอะ ๆ นั้น เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาหารประเภทนี้ดีต่อสุขภาพหัวใจ

1.6 ธัญพืชที่ยังไม่ผ่านการขัดสี

          ธัญพืชที่ยังไม่ผ่านการขัดสีหรือดัดแปลง เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท เส้นหมี่ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ และถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ในปริมาณสูง แถมยังมีไขมันและคอเลสเตอรอลต่ำอีกด้วย โดยเฉพาะข้าวโอ๊ตนั้นยังมีไฟเบอร์ที่สามารถละลายน้ำได้ซึ่งช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้


1.7 ปลา

          นักวิจัยค้นพบว่าผู้ที่รับประทานปลามากกว่าสามครั้งต่อสัปดาห์นั้นจะห่างไกลจากโรคหัวใจและความดันเลือดสูง เพราะในปลานั้นอุดมไปด้วยไขมันโอเมก้า 3ที่ช่วยให้หัวใจ ทำงานได้เป็นปกติ ป้องกันการจับตัว ของเกล็ดเลือด ช่วยลด ความดันโลหิต ช่วยลด การอักเสบ ในร่างกาย สำหรับปลาทะเล ที่มี กรดโอเมก้า 3 สูง ได้แก่ ปลาทู ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน ปลาดาบ ปลากะพง ยิ่งกินได้เยอะ ก็ยิ่งดี


1.8 อาหารที่อุดมไปด้วยไขมันโอเมก้า 3

          นอกจากปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณที่สูงแล้ว ในปัจจุบันนี้มีอาหารหลายชนิดที่มีการเติมกรดไขมันโอเมก้า 3 ลงไป อย่างเช่น นม, ไข่ไก่ และเนื้อสัตว์ ซึ่งอาหารเหล่านั้นก็สามารถหาซื้อได้ง่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่



1.9 ใช้น้ำมัน ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ แต่มี กรดไขมัน ไม่อิ่มตัว ตำแหน่งเดียวสูง

         ซึ่งจะช่วยลด LDL cholesterol ทุกๆ 1 เปอร์เซ็นต์ ที่ลด ไขมันอิ่มตัว ในอาหาร จะช่วยลด LDL cholesterol ได้ 2 เปอร์เซ็นต์ ข้อสำคัญคือ ไม่ควรทดแทน ไขมันอิ่มตัว ด้วยอาหาร คาร์โบไฮเดรต ขัดสี หรือนมไขมันต่ำ เพราะว่าแม้ LDL คอเลสเตอรอล จะลดลงได้จริง แต่ก็ทำให้ HDL พลอยลดลงไปด้วย ซึ่งจะยิ่งเป็น อันตรายต่อหัวใจ ไปกันใหญ่ ควรทดแทน ไขมันอิ่มตัว ด้วยไขมัน ไม่อิ่มตัว ตำแหน่งเดียว เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันรำข้าว ถั่วเปลือกแข็ง หรือนัท และอะโวคาโด


1.10 ควบคุมปริมาณอาหาร  ที่กินแต่ละมื้อ

        โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ไม่ติดมัน ไม่ควรเกินวันละ 200 กรัม

 1.11 ควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอล

        ในอาหารวันละ 300 มิลลิกรัม หากระดับ คอเลสเตอรอล ในเลือดปกติ แต่กรณีที่มีระดับ LDL cholesterol ในเลือดสูง 130 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตรขึ้นไป  ควรจำกัด คอเลสเตอรอล จากอาหาร ไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม และเลี่ยงอาหารที่มี ไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์ ให้มากที่สุด

 1.12 สมุนไพร เครื่องเทศ

         ไม่ว่าของไทย หรือฝรั่ง ก็ล้วนมีสาร แอนติออกซิแดนต์ สูงกันทั้งนั้น มีคุณสมบัติ ป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังใช้ในการ ปรุงแต่งรส เพื่อลดความเค็ม หรือโซเดียม ในการปรุงอาหารด้วย เติมหอมเล็ก กระเทียม พริกไทย พริกสด กะเพรา โหระพา กระชาย ขมิ้น ออริกาโน ในการปรุงอาหารเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกาย ได้รับสิ่งดีๆ ในการเสริมสุขภาพ

 1.13 โกโก้สกัด

         มีสารโพรไซยานิดินส์ ( Procyanidins ) ซึ่งช่วยให้ ผนังหลอดเลือด  คลายตัว ทำให้ความดันโลหิต ลดลง จึงลดความเสี่ยง โรคหัวใจ นอกจากนี้ สารโพรไซยานิดินส์ ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย        



 2. อาหารชะลอวัย    


2.1 มะเขือเทศและซอสมะเขือเทศ

          มะเขือเทศสีแดงฉ่ำที่นำมาทำอาหารได้สารพัดชนิดทั้งสลัดผักสดและส้มต้มยอดฮิต มีสารที่เรียกว่า "ไลโคพีน" สารที่ทำให้มะเขือเทศมีสีแดง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ มะเร็งบางชนิด และโรคจอประสาทตาเสื่อม (สาเหตุของอาการตาบอดในผู้สูงอายุ)

          การรับประทานมะเขือเทศสดหรือผ่านการปรุงแล้วอย่างเช่น ซอสสปาเกตตี้ (ทำเอง) จึงเป็นแหล่งของไลโคพีนชั้นยอดที่จะช่วยให้คุณปลอดจากโรคร้ายต่างๆ ได้ ไลโคพีนยังพบในพืชผักชนิดอื่น อาทิ ฝรั่ง พริกหวานแดง และแตงโม


2.2 มันเทศ ฟักทอง และแครอต

          รับประทานผักและผลไม้สีเหลืองอย่างน้อยวันละสองถ้วยจะช่วยให้ร่างกายได้รับเบต้า-แคโรทีน (สารประกอบที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ) ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อผิวหนังและดวงตา ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งบางชนิด โรคหัวใจ และกระดูกพรุน

          ผักและผลไม้สีเหลืองอย่าง มันเทศ และฟักทอง ยังมีลูทีนและไลโคพีน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมได้เช่นเดียวกับมะเขือเทศ ทั้งยังอาจช่วยปกป้องผิวจากการถูกทลาย หรือแม้แต่ลดริ้วรอยได้ นอกจากนี้ ผักที่มีสีส้มอย่างแครอต ก็มีสารที่เรียกว่า ฟัลคารินอล ซึ่งจากผลการวิจัยบ่งชี้ว่าช่วยลดการขยายตัวของเนื้อร้ายในหนูทดลองได้ถึง 1 ใน 3 ฟัลคารินอลนี้ยังพบได้ในมะม่วงและแคนตาลูป

2.3 บูลเบอร์รี่และองุ่นม่วง

          สารสีม่วงหรือแอนโธไซยานินที่มีอยู่ในบูลเบอร์รี่และองุ่นม่วงจะถูกดูดซึมเข้าไปในเยื่อหุ้มสมองช่วยกระตุ้นความจำและการรับรู้  พบมากในผักและผลไม้ที่มีสีม่วงเช่น กะหล่ำปลีม่วง แบล็กเบอร์รี่ น้ำองุ่น และลูกพลัม (ทั้งสดและแห้ง)

 2.4 บร็อกโคลี่

          สารซัลโฟราเฟนในบร็อกโคลี่ช่วยเพิ่มการสร้างเอนไซม์ที่ช่วยชำระช้างสารพิษในร่างกาย บร็อกโคลี่ที่ยังโตไม่เต็มที่จะมีสารชนิดนี้อยู่มาก โดยเฉพาะบร็อกโคลี่ต้นอ่อนที่มีอายุเพียงแค่ 3 วัน จะมีสารชนิดนี้อยู่มากถึง 50 เท่าของต้นที่โตเต็มวัย ซัลโฟราเฟนยังพบมากในกะหล่ำปลี และดอกกะหล่ำ

2.5 ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเลย์ และถั่ว

          เส้นใยอาหารที่อยู่ในข้าวโอ๊ตเป็นเส้นใยที่ละลายน้ำได้ มีคุณสมบัติลดคอเรสเตอรอลชนิด LDL ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ  นอกจากจะมีกากใยสูงแล้ว ข้าวโอ๊ตยังมีกรดโฟลิกที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ และอุดมไปด้วยโพแทสเซียมที่ช่วยควบคุมความดันโลหิต  สารอาหารเหล่านี้ยังพบได้ในถั่วชนิดต่างๆ (ควรรับประทาน 3 ถ้วยต่อสัปดาห์)ซึ่งยังประกอบด้วยแอนโธไซยานินและเคอร์เซติน สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในเบอร์รี่ชนิดต่าง ๆ และแอปเปิ้ล

 2.6 ผักโขม และผักใบเขียว

          การศึกษาล่าสุดรายงานว่า การกินผักใบเขียวทุกวันจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ถึง 11 เปอร์เซ็นต์  การกินผักใบเขียวยังช่วยในเรื่องการมองเห็น เนื่องจากมีคาโรทีนอยด์ถึงสองชนิดคือ ลูทีนและซีแซนติน  ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมอันเนื่องมาจากความชรา                                                                                                                       
          การที่ผักใบเขียวอุดมไปด้วยคาโรทีนอยด์ก็เพราะต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดด ทำให้จำเป็นต้องสร้างคาโรทีนอยด์ขึ้นมาเพื่อป้องกันแสงแดด สำหรับคนเรา คาโรทีนอยด์ถูกสะสมไว้ที่เรติน่าเพื่อปกป้องดวงตา ดังนั้นเราจึงควรรับประทานผักใบเขียวสามถ้วยต่อสัปดาห์เพื่อประโยชน์ดังกล่าว

2.7 ซาลมอน ซาร์ดีน และทูน่า

          รับประทานปลาที่มีโอเมก้า3 สองมื้อต่อสัปดาห์ทำให้หัวใจมีสุขภาพดี งานวิจัยใหม่ๆ แนะนำว่าโอเมก้า 3 ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธภาพ  การศึกษาล่าสุดบ่งชี้ว่าการรับประทานโอเมก้า 3 ปริมาณมากจะช่วยลดปัญหาเรื่องการทำงานของสมองเสื่อมตามวัย

2.8 แอปเปิ้ล

          รายงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลเปิดเผยว่า เคอร์ซีติน สารต้านอนุมุลอิสระในแอปเปิ้ลจะช่วยปกป้องสมองจากการถูกทำลายซึ่งป็นอาการที่พบได้ในโรคต่างๆ อาทิ อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน  การรับประทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือกจะทำให้ได้รับเคอร์ซีตินอย่างเพียงพอ เนื่องจากเปลือกของแอปเปิ้ลมีเคอร์ซีตินอยู่มากนั่นเอง

 2.9 .น้ำ
          น้ำเป็นสารอาหารที่สำคัญที่สุดในอาหาร ร่างกายต้องใช้น้ำในการหายใจ ย่อย และดูดซึมอาหาร เผาผลาญพลังงาน และสารอาหาร ขจัดของเสีย ตลอดจนควบคุมน้ำหนัก และอุณหภูมิในร่างกาย คนเราควรดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้วขึ้นไป น้ำสะอาดไม่มีแคลอรี่หรือพลังงาน ไม่มีผลข้างเคียงเหมือนกาแฟ เมล็ดโคลา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำผลไม้ มีประโยชน์แต่มีแคลอรี่ ถ้าดื่มมากก็อ้วนได้
2.10  เนื้อสัตว์ปีก
          เราะหนังเราะมัน และชนิดปลอดเชื้อไข้หวัดนก มีโปรตีนและวิตามินบี ซุปไก่ตุ๋นร้อนๆ ช่วยลดอาการหวัดเพราะมีสารซิสเทอีนสูงช่วยละลายเมือกและเสมหะ

3. อาหารต้านมะเร็ง   
         มะเร็ง คือ โรคชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากเซลล์ที่ผิดปกติในร่างกาย ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีการเจริญเติบโตรวดเร็วกว่าปกติ ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ ฉะนั้น เซลล์ที่ผิดปกติเหล่านี้จึงสามารถแพร่กระจายและลุกลามไปทั่วร่างกาย มีผลทำให้เซลล์ปกติของเนื้อเยื่อ รวมถึงอวัยวะต่างๆ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ก่อให้เกิดโรคและมีอาการต่างๆ เกิดขึ้นตามมา หากว่าเกิดมะเร็งในอวัยวะสำคัญๆ หรือเซลล์มะเร็งนั้นได้แพร่กระจายเข้าสู่อวัยวะสำคัญ ทำให้อวัยวะนั้นๆ ล้มเหลว ทำงานได้ไม่ปกติ จนอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ในที่สุด อวัยวะสำคัญที่อาจเป็นเป้าหมายของเซลล์มะเร็ง ได้แก่ ตับ ปอด สมอง กระดูก ไขกระดูก และไต

       ปัจจุบันได้มีการศึกษาถึงศักยภาพของผักผลไม้ ในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งกันมาก มีรายงานว่าการบริโภคผักผลไม้โดยเฉพาะผักตระกูลกระหล่ำ และผักผลไม้สีเขียวและเหลืองช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งระบบทางเดินหายใจ และมะเร็งระบบทางเดินอาหาร

          นอกจากนี้ยังมีการวิจัยว่าผักเหล่านี้สามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองที่ได้รับสารก่อมะเร็งชนิดต่าง ๆ ได้ เช่น การเกิดมะเร็งเต้านมที่เกิดจากสารก่อมะเร็ง 9,10-dimethylbenz (a) anthracene, มะเร็งตับที่เกิดจาก Aflatoxin, มะเร็งกระเพาะอาหารที่เกิดจากสารก่อมะเร็ง benz (a) pyrene และมะเร็งปอดที่เกิดจากสารก่อมะเร็ง NNK ซึ่งเป็นสารเคมีในใบยาสูบ

          แต่อันที่จริงถึงแม้ว่าอาหารหลากหลายชนิดจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และมีส่วนช่วยต้านมะเร็งได้ แต่มีอาหารเพียงไม่กี่อย่างที่จัดว่าเป็นอาหารชั้นเยี่ยมในการต้านมะเร็ง ซึ่งได้แก่


3.1 กระเทียม

          ถือเป็นเครื่องเทศกลิ่นแรงที่ใช้ประกอบอาหารกันมามากกว่า 5,000 ปี นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนประกอบในสูตรยาฆ่าเชื้ออีกด้วย หลุยส์ ปาสเตอร์ พบว่า กระเทียมสามารถฆ่าเชื้อที่อยู่ในจานเพาะเชื้อได้ และยังพบว่ากระเทียมจะกระตุ้นการทำงานของร่างกายในการป้องกันเซลล์มะเร็ง

          อับดุลลาห์ แพทย์ของมหาวิทยาลัยฟลอริดา พบว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้ที่กินกระเทียม สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ดีกว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้ไม่กินกระเทียมถึง 139% มีการทดลองพบว่าทั้งกระเทียมและหัวหอมสามารถลดการเกิดมะเร็งที่ผิวหนัง และจากการให้หนูทดลองกินกระเทียม พบว่าในหนูที่มีแนวโน้มว่าทางพันธุกรรมว่าเป็นมะเร็งได้ง่าย จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลดลง

          นอกจากนี้ยังมี นักวิจัยชาวจีนได้พบว่าการบริโภคกระเทียมและหัวหอมในปริมาณสูง ๆ สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่กระเพาะลงได้ครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้กระเทียมยังทำให้ตับสามารถทนต่อสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้มากขึ้นด้วย และด้วยกลไกการออกฤทธิ์ของกระเทียมที่จะทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็ง แต่ไม่ทำลายเซลล์ปกติ ดังนั้นจึงสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย



3.2 แคโรทีนอยด์

          ทั้งแคโรทีนอยด์และไบโอฟลาวินอยในพืช จัดว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

          แคโรทีนอยด์จะพบทั้งในผักผลไม้สีเขียวและสีส้ม ส่วนไบโอฟลาวินอยด์จะพบในพวกผลไม้รสเปรี้ยว ธัญพืช น้ำผึ้ง พืช ผัก

          อาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยที่หน้าที่หลักของแคโรทีนอยด์ คือจะเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง ช่วยต้านมะเร็งได้อย่างดีเยี่ยม

 3.3 พวกหัวกะหล่ำ

          พืชผักจำพวกหัวกะหล่ำ ได้แก่ บรอคโคลี, กะหล่ำปลี, กะหล่ำปลี brussel, ดอกกะหล่ำ ซึ่งพืชเหล่านี้จะมีส่วนหัวอยู่ติดกับพื้นดิน เนื่องจากในพืชชนิดนี้จะมีสารอินโดล ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง

          มีนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกิ้นส์ ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการต้านมะเร็ง แล้วพบว่า ในสัตว์ทดลองที่เลี้ยงด้วยพืชประเภทนี้ เมื่อได้รับสารก่อมะเร็งชนิดอัลฟาทอกซินนั้น มีโอกาสเกิดมะเร็งลดลงถึง 90%


 3.4 เห็ด

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า อาหารตระกูลเห็ดก็ต้านมะเร็งได้เหมือนกัน โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิจัยและค้นพบว่า เห็ดไรชิ , เห็ดชิตาเกะ และเห็ดไมตาเกะ มีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูงมาก และได้มีการทดลองให้สัตว์กินสารสกัดจากเห็ดไมตาเกะ พบว่า 40% ของสัตว์ทั้งหมดสามารถกำจัดมะเร็งได้หมดสิ้น ส่วนอีกสัตว์อีก 60% นั้นสามารถกำจัดมะเร็งได้ถึง 90%

          ในเห็ดไมตาเกะประกอบด้วยโพลีแซคคาไลท์ ที่ชื่อว่า เบต้า-กลูแคน ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและช่วยลดความดันเลือด

3.5  ถั่ว

        บรรดาเมล็ดพืชทั้งหลายที่มีเปลือกจะมีสารโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ ทำให้ร่างกายของเราไม่สามารถย่อยเมล็ดเหล่านั้นได้โดยตรง จากการค้นพบที่ผ่านมาพบว่า สารโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ สามารถยับยั้งการโตของเซลล์มะเร็งได้ ขณะที่สถาบันมะเร็งนานาชาติ พบว่าในอาหารประเภทถั่วนั้นประกอบด้วยสารไอโซฟลาโวนและสารไฟโตเอสโตรเจนที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี

          และยังได้มีการวิจัยของDr. Ann Kennedy ยืนยันในคุณสมบัติของถั่วอีกว่า สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งในสัตว์ที่ได้สารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งโตช้าลง อีกทั้งยังช่วยลดผลข้างเคียงของการใช้ยาและรังสีเพื่อการรักษามะเร็ง รวมถึงสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้



3.6 สาหร่ายทะเล

         เป็นแหล่งแร่ธาตุชั้นดี เต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกายมากมาย มีให้เลือกทานหลายชนิด แต่ควรเลือกทานสลับชนิดกันไปเรื่อยๆ ไม่ควรทานสาหร่ายชนิดเดียวติดต่อกันนานเกินไป หรือใครอยากลองสาหร่ายพวงองุ่นก็ดีนะคะ เทรนด์กำลังมาเลยล่ะ

 3.7 ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

         ทั้งสตอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ เชอร์รี่ ทั้งอร่อยสดชื่น และมีประโยชน์มากมาย ทั้งวิตามินต่างๆ และกากใยอาหาร ทานสดจะได้คุณค่าสูงสุด

3.8 ปลาน้ำเย็น

          ส่วนใหญ่จะเป็นปลาทะเล เช่น แซลมอน ที่มีโอเมก้า 3 และไขมันที่ดีต่อร่างกาย ปลาคอท ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน

3.9  เครื่องเทศต่างๆ

           เช่น เก๋ากี้ (หรือโกจิเบอร์รี่) พริกไทย กระเทียม หัวหอม ขิง โรสแมรี่ สามารถนำมาทำอาหาร หรือทานสดได้ (หากทานได้) ช่วยต้านมะเร็ง และกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้อีกด้วย

3.10 โยเกิร์ต

           ไม่ได้มีประโยชน์แค่เรื่องการขับถ่าย และช่วยควบคุมน้ำหนักได้เท่านั้น แต่ยังช่วยต้านมะเร็ง เพราะมีสารอนุมูลอิสระ ช่วยการหมุนเวียนของโลหิต และชะลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย หรือจะลองกรีกโยเกิร์ต ที่เข้มข้นกว่า สารอาหารมากกว่า และมีโปรไบโอติกส์ที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ดีกว่าด้วย

3.11 น้ำดื่มธรรมดาๆ

            น้ำดื่มสะอาด ช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้คล่องตัวขึ้น เป็นตัวกลางสำคัญที่จะทำให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการนำพาเอาของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้นอีกด้วย



4. อาหารลดความเครียด   

         ภาวะความเครียดไม่ว่าจะเกิดจากการคิดเรื่องเล็กๆ คิดเล็กคิดน้อยจนไปถึงคิดเยอะคิดมาก พอคิดเยอะก็จะเกิดอาการตึงเครียดกับการค้นหาทางออกให้เจอ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเราก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เราเกิดความเครียดได้โดยไม่รู้สึกตัว ไหนจะจากการทำงาน รถติด หรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงยังสามารถทำให้เราเกิดอาการแปรปรวน ส่วนใหญ่คนเราก็จะหาวิธีแก้ความเครียดหรือหาอะไรทำให้ตัวเราเองรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีขึ้น และส่วนมากวิธีที่ถูกเลือกก็คงเป็น ’’การกิน’’ หลายคนมีความสุขในการรับประทานพอมีอาการเครียดก็จะไปหาอาหารอร่อยๆ หรือของหวานๆทานกัน แต่ทราบกันหรือไม่คะว่าปัญหาที่ตามมาก็คือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง วันนี้เราเลยไปหาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารอะไรบ้างที่เรารับประทานไปแล้วจะช่วยทำให้ลดความเครียดลงได้ เผื่อบางคนที่ยังไม่ทราบจะได้เลือกรับประทานได้ถูก ความเครียดที่เกิดจากปัญหาต่างๆ บางทีก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะควบคุมมัน เมื่อเกิดความเครียดร่างกายยังมีปฏิกิริยาตอบสนอง อย่างการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น สมองทำงานมากขึ้น ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ตับหลั่งกลูโคสออกมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น มีการเพิ่มการแข็งตัวของเลือด และฮอร์โมนคอร์ทิซอล (Cortisol Hormone) จะหลั่งออกมาเพื่อลดอาการอักเสบของแผล ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น เมื่อฮอร์โมนคอร์ทิซอลถูกหลั่งออกมาเมื่อมีความเครียด เซโรโทนินฮอร์โมนที่ทำให้เรารู้สึกดีนั้นจะลดลง เป็นฮอร์โมนที่ผลิตมาจากแป้งและน้ำตาล ทำให้ร่างกายมีความอยากอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลที่ให้พลังงานมาก เช่น ข้าว ขนมปัง ช็อกโกแลต ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน บางคนเน้นแป้งก็จะกินแต่ขนมปัง ข้าว บางคนชอบความหวานก็จะเน้นไปที่ช็อกโกแลตหรือลูกอมเป็นต้น และนี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเวลาเราเครียดแล้วถึงอยากรับประทานอาหารนั่นเอง เพราะฉะนั้นการเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพกายของเราแล้ว ยังดีต่อสุขภาพจิตใจของเราอีกด้วย  

4.1 ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ (ช่วยผ่อนคลายความเครียด)
             ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ทุกชนิด นอกจากรสชาติอร่อยและมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Blackberries, Strawberries, Cranberries, Raspberries และ Blueberries ซี่งบลูเบอร์รี่นั้นเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินซีช่วยคลายความเครียดลงได้ นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ช่วยป้องกันเซลล์ถูกทำลาย และป้องกันร่างกายจากผลกระทบของความเครียดอีกด้วย อยากที่ทราบกันดีว่าผลไม้กลุ่มนี้อุดมไปด้วยสาร antioxidants และวิตามินซีที่สูง และสาร antioxidants เหล่านี้จะไปช่วยลดความเครียดได้ค่ะ เวลาที่รู้สึกเครียดๆ อาจจะเลือกทานผลไม้พวกนี้เป็นของว่าง หรือจะนำมาปั่นเป็นสมูทตี้ปั่นก็อร่อยดีเหมือนกันค่ะ ควรมีติดตู้เย็นไว้นะเนี่ย
4.2 กล้วยหอม (ช่วยลดความเครียด)
         เมื่อร่างกายหลั่งสารซีโรโทนินออกมาในสมอง เราจึงต้องการอาหารจำพวกที่อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว แป้ง และน้ำตาล เพื่อที่ร่างกายจะนำไปสร้างซีโรโทนินมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกสงบเยือกเย็น ลดภาวะวิตกกังวล และบางคนก็มีปฏิกิริยามากถึงขั้นง่วงซึมได้ ดังนั้นเมื่อเรารับประทานอาหารกลางวันจนรู้สึกง่วงนอนก็เพราะเหตุผลเดียวกันนี่เอง การเกิดสารซีโรไทนิน ไม่ได้เกิดจากสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเท่านั้น ยังมีกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า ทริปโตแฟน ที่ร่างกายสามารถนำไปสร้างเป็นซีโรโทนินได้ ซึ่งกรดอะมิโนชนิดนี้ หาได้ในผลไม้จำพวกกล้วยหอม ที่อุดมไปด้วยทริปโตแฟนจำนวนมหาศาล ช่วยลดอารมณ์ซึมเศร้าและความเครียดได้เป็นอย่างดี แถมยังไม่อ้วนอีกด้วยค่ะ
4.3 Dark Chocolate (ช่วยให้อารมณ์ดี)
          ใน Dark Chocolate มีสาร flavonols ซึ่งมีประโยชน์ต่อความดันโลหิตสูง และช่วยเรื่องสมอง นอกจากนั้นยังช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเครียดด้วยค่ะ อีกทั้งยังมีสารคาเฟอีนในช็อกโกแลตที่ช่วยให้เรารู้สึกมีความสุข โดยจะเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสาร เอ็นดอร์ฟิน (endorphin) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ สารแห่งความสุขสารดังกล่าวนี้พบได้หลังจากรับประทานดาร์กช็อกโกแลตเข้าไป ในการเลือกดาร์กชอคโกแลตควรดูที่เปอร์เซ็นต์ของโกโก้ ควรที่จะมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าส่วนประกอบอื่นๆ ทางที่ดีควรจะ 70% ขึ้นไปค่ะ อย่าลืมว่ายังไงก็ยังมีแคลอรี่ที่สูงอยู่เหมือนกัน ยังไงในหนึ่งแท่งก็หักแบ่งมาทานสักคำสองคำนะคะ

4.4 ปลา (ลดอาการซึมเศร้าและวิตก)
          มีปลาหลายชนิดที่อุดมไปด้วยวิตามินบีที่สำคัญในการต่อต้านความเครียด ทั้งวิตามินบี  6 และวิตามินบี 12 โดยเฉพาะวิตามินบี 12 ยังช่วยให้สมองหลั่งสารแห่งความสุขอีกด้วย และเมื่อไรก็ตามที่ร่างกายขาดบี 12 จะทำให้รู้สึกซึมเศร้าหดหู่ขึ้นมาได้ กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบมากในปลาทะเลทุกชนิดในกลุ่มปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน และปลาแม็คเคอเรล สามารถรักษาผู้ป่วยโรคอารมณ์เศร้าในเด็กได้ ในมื้ออาหารเลยอยากแนะนำให้รับประทานปลาทูน่า ปลาแซลมอน หรือปลาแมคเคอเรลจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ช่วยลดอารมณ์เศร้าในกลุ่มที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายได้ด้วย ดังนั้นเราจึงควรรับประทานปลาเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายมีสารอาหารที่หลั่งลดความเครียดได้ทันท่วงทีค่ะ
4.5 นมถั่วเหลือง (ช่วยเพิ่มสมาธิและความกระฉับกระเฉง)
         นอกจากสารซีโรโทนินที่ช่วยลดความเครียดแล้ว ยังมีสารอีกตัวคือ โดไทโรซีน (tyrosine) ซึ่งเป็นสารที่ส่งผลต่ออารมณ์ของบุคคลให้มีความตื่นตัว กระฉับกระเฉง มีสมาธิ ไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ รอบตัว ซึ่งสารนี้จำเป็นจะต้องใช้สารอาหารอย่างโปรตีนที่พบมากอย่างในถั่วเหลือง จะไปช่วยให้สมองมีความกระฉับกระเฉงตื่นตัวมากขึ้นค่ะ

 4.6 อัลมอลด์ (ช่วยให้อารมณ์ดีและรู้สึกผ่อนคลาย)
          อัลมอนด์นั้นช่วยคลายเครียดได้ดีค่ะ เนื่องจากอุดมด้วยวิตามินบีและวิตามินอีสูงอีกทั้งยังมีแมกนีเซียมที่ช่วยสร้างเซโรโทนินทำให้อารมณ์ดี รู้สึกผ่อนคลายจิตใจสงบ ส่วนวิตามินอีจะช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เกี่ยวเนื่องกับความเครียดและโรคหัวใจ อีกทั้งยังมีแร่ธาตุสังกะสีที่จะไปช่วยในการบรรเทาความเครียดเช่นกัน อย่างไรก็ตามอัลมอนด์ยังคงให้แคลอรี่ที่สูงอาจจะไปทำให้อ้วนได้ค่ะ จึงควรบริโภคแต่พอควรสักหนึ่งกำมือก็เพียงพอแล้วค่ะ
4.7 อะโวคาโด (ช่วยลดระดับความเครียด)
          Avocados เป็นผลไม้ที่มีวิตามิน B สูง ซึ่งจะช่วยทำให้ลดระดับความเครียดในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยบำรุงระบบประสาทและเซลล์สมองอีกด้วย แถมยังมีไขมันไม่อิ่มตัวชนิด (monounsaturated fats) ที่ช่วยเรื่องหัวใจอีกด้วย เมนูนี้อาจจะมีแคลอรีสูงสักหน่อย อาจเลือกทานเล่นหรือทานเป็นสลัดกับผักสด แต่ถ้าใครอยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนักก็อย่าได้ทานเยอะเกินไปค่ะ

 4.8 ธัญพืช (ช่วยผ่อนคลายและจิตใจสงบ)
            การที่เราจะเลือกรับประทานข้าวขาวหรือขนมปังขาวแต่มาเลือกรับประทานเป็นข้าวกล้องแทน หรือจะเป็นขนมปังโฮลวีทแทนขนมปังขาว นอกจากจะทำให้ไม่อ้วนแล้ว ยังเต็มไปด้วยวิตามินบี เกลือแร่ เช่น แมกนีเซียม โพแทสเซียม และแคลเซียม โปรตีนและไฟเบอร์ ซึ่งช่วยทำให้ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจสงบลงค่ะ
4.9 ส้ม (รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย)
          อย่างที่ทราบกันดีว่าผลส้มนั้นมีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีจะสามารถช่วยลดระดับฮอร์โมน cortisol และระดับความดันโลหิตได้ เมื่อรู้สึกว่าช่วงไหนรู้สึกเครียดๆสมองตื้อๆ คิดอะไรไม่ค่อยออกแล้วล่ะก็ควรนั่งพักสบายๆ หยุดคิดเรื่องทุกเรื่องและดื่มน้ำส้มคั้นสักแก้วหรือส้มสักผลสองผล ไฟเบอร์และวิตามินซีจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาได้อีกครั้งค่ะ
4.10 สาหร่าย (ต่อต้านความเครียด)
          สาหร่ายมีคุณสมบัติในการต่อต้านความเครียด อุดมไปด้วยแมกนีเซียม กรดแพนโทเธนิค และวิตามินบี 2 โดยกรดแพนโทเธนิคจะช่วยเปลี่ยนคอเลสเตอรอลเป็นฮอร์โมนสำหรับต่อต้านความเครียด ป้องกันอาการอ่อนเพลีย สร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค
4.11 นม (ช่วยผ่อนคลายและจิตใจสงบ)
          นมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เกี่ยวกับความเครียด และยังประกอบด้วยทริปโตเฟนที่ช่วยทำให้จิตใจสงบ ดื่มนมอุ่น ๆ ก่อนนอนสักแก้ว ช่วยให้ผ่อนคลายและหลับสบายค่ะ
4.12 ผักโขม (ช่วยให้อารมณ์คงที่)
         สีที่เขียวเข้มของผักโขมเต็มไปด้วย Folate และวิตามิน B ซึ่งจะสามารถช่วยเรื่องอารมณ์ และการทำงานของเส้นประสาทด้วย นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือดอีกด้วยค่ะ
4.13 ซีเรียล (ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า)
        อาหารเช้าซีเรียลเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ เช่น วิตามินบี กรดโฟลิก วิตามินซี และไฟเบอร์ ที่ช่วยจัดการกับความเครียดให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น
4.14 เนื้อวัว (ช่วยผ่อนคลายลดความกังวล)
        ในเนื้อวัวมีธาตุเหล็ก วิตามินบี และสังกะสี ช่วยลดความกังวลใจ ช่วยให้กล้ามเนื้อและประสาทคลายตัว แต่เนื้อวัวก็มีไขมันอิ่มตัวที่เป็นสาเหตุของโรคหัวใจและโรคอื่น ๆ เช่นกัน ดังนั้นจึงควรเลือกรับประทานส่วนที่มีไขมันน้อย เช่น เนื้อสันนอก เนื้อสันใน สะโพกนอก
4.15 บล็อคโคลี (ช่วยบรรเทาความเครียด)
       ในบล็อคโคลีมีทั้งวิตามินบี 12 กรดโฟลิก ที่ช่วยส่งเสริมการผลิตเซโรโทนิน สารเคมีที่ทำให้อารมณ์ดีซึ่งร่างกายผลิตขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ ช่วยบรรเทาความเครียดวิตกกังวล ความกลัวและความเศร้าได้
4.16 ซูชิ
        นอกจากประโยชน์จากปลาแล้ว สาหร่ายในโรลมากิยังมีคุณสมบัติในการต่อต้านความเครียด อุดมด้วยแมกนีเซียม กรดแพนโทเธนิค และวิตามินบี 2 โดยกรดแพนโทเธนิคจะช่วยเปลี่ยนคอเลสเตอรอลเป็นฮอร์โมนสำหรับต่อต้านความเครียด ป้องกันอาการอ่อนเพลีย สร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค

4.17  แคนตาลูป
         แคนตาลูปเป็นแหล่งวิตามินซีที่ดีมาก มีสรรพคุณช่วยต่อต้านความเครียด บำรุงสายตา บำรุงสมอง แถมมีส่วนช่วยในเรื่องของการเกิดสมาธิ



 อาหารออแกนิค
    


       ผลิตภัณฑ์ออแกนิค (เกษตรอินทรีย์) คือ ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากพื้นฐานที่แท้จริงของธรรมชาติ โดยผลิตจากวัตถุดิบออแกนิคทางการเกษตรไม่น้อยกว่า 95% และ วัตถุดิบเหล่านั้นต้องไม่มีการปนเปื้อนของสารสังเคราะห์ใดๆ ที่เกิดจากการประยุกต์ทางเทคโนโลยี หรือสารเคมีที่เป็นอันตรายและสามารถสะสมในร่างกายได้อีก5% ที่เหลือสามารถเป็นสารสังเคราะห์ที่ไม่มีอันตรายและได้รับการรับรองแล้วว่าสามารถใช้ได้

1.ส่วนประกอบทุกอย่างมาจากธรรมชาติ

      อาหารแบบออร์แกนิกจะไม่ใช้สารสังเคราะห์ใดๆ เลยในขบวนการปลูกหรือเพาะเลี้ยง นั่นหมายถึงทั้งพืชผักและเนื้อสัตว์เลี้ยง ที่อาศัยการเลี้ยงดูให้เติบโตสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารจากธรรมชาติ พืชผักที่ปลูกต้องปลอดสารเคมี โดยใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการปลูกเท่านั้น ในส่วนสัตว์ก็จะเป็นการเลี้ยงดูอย่างอิสระไม่มีการให้สารเร่ง เช่น เร่งเนื้อ เร่งไข่ ไม่มีการขุนหรือให้อาหารสังเคราะห์ใดๆ เพื่อให้สัตว์เหล่านั้นโตเร็ว อย่างเช่น ในวงการอุตสาหกรรมทำกัน จึงจะสามารถเรียกได้ว่าผลผลิตเหล่านี้เป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติ 100% ไม่มีสารพิษเจือปน

2.ขบวนการผลิตไม่ใช้สารเคมี

      หากในอาหารมีส่วนประกอบจากการใช้สารเคมีร่วมด้วยนั่น ก็ไม่ถือว่าเป็นออร์แกนิก ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีในที่นี้หมายถึง ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี สารกระตุ้นหรือสารเร่งการเจริญเติบโต โดยตามหลักมาตรฐานขององค์กรออร์แกนิกจะระบุรูปแบบอาหารออร์แกนิกไว้ 3 ระดับ คือ 100% Organic (ธรรมชาติ 100%) Organic (ธรรมชาติ 95% ขึ้นไป ใช้สารสังเคราะห์เพียงเล็กน้อยเท่าที่จำเป็น) และ Made with Organic Ingredient (ธรรมชาติ 70% ขึ้นไป ถ้าต่ำกว่านี้ไม่ถือว่าเป็น Organic) ซึ่งในส่วนของผลิตภัณฑ์ถูกนำออกมาจำหน่ายนั้น ต้องมีป้ายบ่งบอกเปอร์เซ็นต์ลักษณะนี้ ซึ่งในต่างประเทศอย่างอเมริกา แคนาดา ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการบริโภคอาหารออร์แกนิกค่อนข้างสูง โดยจะเป็น Organic 100% ซึ่งเทียบกับประเทศไทยแล้ว เรายังไม่ค่อยเห็นความสำคัญในเรื่องนี้มากนัก แต่ก็เริ่มมีผู้บริโภคในกลุ่มคนรักสุขภาพหันมารับประทาน Organic Food มากขึ้น เพราะพิษภัยของสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและสิ่งแวดล้อม ทำให้ร่างกายกลายเป็นแหล่งสะสมสารพิษ และส่งผลให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บ ดังนั้น Organic Food จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภคที่ห่วงใยในสุขภาพของตัวเอง

3.ประกระบวนการผลิตไม่ก่อให้เกิดมลพิษในสิ่งแวดล้อม

        อาหารออร์แกรนิก นอกจากจะมุ่งให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีจากผลผลิตนั้นแล้ว ยังจะมีจุดประสงค์อีกประการหนึ่ง นั่นก็คือ ความพยายามในการลดมลพิษให้กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างที่ทราบกันดีว่า การใช้สารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี จะส่งผลให้มีสารพิษตกค้างอยู่ในดิน น้ำและอากาศ ดังนั้น วิธีการปลูกแบบธรรมชาติแบบนี้ จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม พูดง่ายๆ คือ ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมนั่นเอง

         อาหารออร์แกนิก ต่างจากอาหารทั่วไปอย่างไร จากผลงานวิจัยของ สมิธ-สแปงเกลอร์ และทีมวิจัยระบุว่า สารอาหารใน Organic Food ไม่ได้แตกต่างจากอาหารทั่วไป ยกเว้นเสียแต่ว่ามี ฟอสฟอรัส ซึ่งผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกมีปริมาณมากกว่าเพียงเล็กน้อย ส่วนสารอาหารในกลุ่มโปรตีนและไขมันในนม พบว่า ไม่ว่าจะนมออร์แกนิกหรือนมทั่วไปนั้น ก็มีปริมาณสารอาหารประเภทโปรตีนและไขมันไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าในอาหารทั่วไปนั้น จะใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ซึ่งอาจมีสารเคมีตกค้างในพืช ส่วน Organic Food ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมี และสารเคมีกำจัดวัชพืช ทำให้ไม่มีสารเคมีตกค้างในพืช ซึ่งสารตกค้างเหล่านี้เอง ที่เป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพและยังเป็นที่มาของโรคมะเร็ง ภูมิแพ้ โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ที่ผ่านมามีผลงานวิจัยที่ระบุว่า หากคุณแม่ตั้งครรภ์รับประทานอาหาร อาหารออร์แกนิกตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคทั้งหลาย เช่น หอบหืด ออทิสติก ภูมิต้านทานบกพร่อง โรคมะเร็ง ที่จะเกิดขึ้นกับลูกน้อยลง และยังช่วยทำให้คุณแม่มีสุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วย

        นอกจากนี้ผลการทดลองโดย Environmental Working Group (EWG) องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่แสวงหาผลกำไรของสหรัฐฯ พบว่า การทานผักผลไม้ที่มีสารเคมีปนเปื้อนในแต่ละวัน จะทำให้ร่งากายมีโอกาสได้รับสารเคมีถึง 15 ชนิด ประมาณ 38% ของยาฆ่าแมลงที่เราใช้กันอยู่ทั่วโลกเป็นสารเคมีกลุ่มออกาโนฟอสเฟตที่รบกวนการทำงานของระบบประสาทและสมองของแมลง ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบประสาทและสมองของคนและสัตว์เช่นกัน นอกจากนี้ มักมีสารไดอะซีนอนไดซัลโฟตอน อะซินฟอสเมทธิล และโฟโนฟอสอีกด้วย โดยเป็นสารเคมีกลุ่มออกาโนฟอสเฟตที่รบกวนการทำงานของระบบประสาทและสมองของแมลง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอันตรายต่อระบบประสาทและสมองของคนและสัตว์เช่นกัน

อาหารเสริม
      อาหารเสริมสุขภาพ จัดเป็น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือ Dietary supplement products ซึ่งหมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานโดยตรง นอกเหนือจากการรับประทานอาหารหลัก ตามปกติมักจะอยู่ในลักษณะเป็นเม็ด แคปซูล ผง เกล็ด ของเหลว หรือลักษณะอื่น มีจุดมุ่งหมายสำหรับบุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพปกติ (มิใช่สำหรับผู้ป่วย) เช่น น้ำมันปลาแคปซูล ใยอาหารอัดเม็ด ใยอาหารผงสำหรับชงหรือโรยอาหาร เป็นต้น

1.อาหารบำรุงสุขภาพ จะเป็นพวกที่อวดอ้างสรรพคุณว่าเป็นอาหารบำรุงร่างกาย รับประทานแล้วมีสุขภาพดี ราคาค่อนข้างแพง อาทิเช่น รังนก โสม หูฉลาม ซุปไก่สกัด เป็นต้น
2.อาหารป้องกันและรักษาโรค ตัวอย่างเช่น น้ำมันดอกอิฟนิ่งพริมโรส (Evening primrose oil) น้ำมันปลา เลซิทิน นมผึ้ง สาหร่ายคลอเรลล่า
3.อาหารลดน้ำหนัก สำหรับผู้เป็นโรคอ้วน อาหารประเภทนี้ จะเพิ่มประมาณ บริโภคแล้วอิ่ม ไม่ให้คุณค่าทางอาหาร ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์จากบุก เมล็ดแมงลัก guagum
4.อาหารเสริมนักกีฬา มีสารอาหารที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น เครื่องดื่มเกลือแร่ชนิดต่างๆ
5.ผลิตภัณฑ์ที่เสริม หรือเติมสารอาหาร (fortifiaction) บางชนิดให้มากขึ้น เช่น ใยอาหาร(dietary fiber) แคลเซียม เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้คนบางกลุ่มที่ได้รับสารอาหารบางชนิดไม่เพียงพอต่อ ความต้องการของร่างกาย


ประโยชน์อาหารธรรมชาติ
1. อายุยืน ไม่เกิดโรค   เช่น ฟันผุ ท้องผูก ริดสีดวงงอก โรคผิวหนังต่างๆ โรคกระดูกอ่อน โรคโลหิตซึม โรคไส้เดือนและโรคอื่นๆ ที่ติดต่อจากสัตว์อีกหลายอย่าง

2. มีกำลังสมองและเส้นประสาทดีมาก เช่น ชาวฮินดู มีนิสัยใจคอเยือกเย็น ไม่ดุร้าย กลางคืนอยู่ยาม วันหนึ่งนอนไม่กี่ชั่วโมง ก็ไม่ทำให้ใจคอหงุดหงิด หรือเสียอนามัยประการใด พวกโยคีสามารถบังคับใจ ทรมานร่างกายด้วยวิธีต่างๆ เช่น นั่งอยู่บนปลายตะปู หรือกำมือยกชูสูง ไม่เอาลงจนมือลีบ และเล็บทะลุออกทางหลังมือ เป็นต้น

3. มีกำลังกายดี เช่น ชาวฮินดู ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น ชาวฮินดูโดยมาก ท่านจะแลเห็นรูปร่างล่ำสัน แข็งแรง ไม่สู้จะมีโรคภัยไข้เจ็บอย่างใด ช้าง ม้า วัว ควาย กินแต่หญ้าและฟางแห้ง ยังสามารถลากเข็นล้อเกวียน และไถนาได้วันยังค่ำ แต่ถ้า เราจะสามารถจับเสือ และสิงโต ซึ่งกินแต่เลือดเนื้อของสัตว์ มาลองลากเข็นหรือไถนาดูบ้าง ก็คงจะไม่ทนทาน เพราะสัตว์กินเลือดเนื้อ เมื่อกินแล้วก็อ่อนเพลีย ขี้เกียจแม้แต่จะลุกเดิน ท่านจงสังเกตดูว่า ข้าวปลาอาหาร เงินทอง ตึกรามบ้านช่อง และกำลังของโรงงาน เครื่องจักรต่างๆ ก็เนื่องมาจาก กำลังของสัตว์ที่กินผักหญ้า เช่น วัว ควาย ช้าง ม้า เหล่านี้ เป็นผู้ชักลากให้ทั้งสิ้น

4. ใจคอสุภาพไม่ดุร้าย ขอให้ท่านเปรียบดู ในระหว่างแขกฮินดู กับแขกบางชาติว่า จะมีศีลธรรมผิดกันอย่างไร ชาวฮินดู เป็นชาติที่มีศีลธรรม และอนามัยดียิ่ง มาหลายพันปีแล้ว กับขอให้ท่านสังเกตดูต่อไป ในระหว่างสัตว์ที่กินสัตว์ กับสัตว์ที่กินผัก เช่น เสือ สิงโต เหยี่ยว อีกา ที่ชอบกินสัตว์ กับวัวควาย นกพิราบ นกเขา ที่กินแต่อาหารธรรมชาติ เราจะเห็นว่า จำพวกสัตว์ที่กินผัก มีอนามัยและศีลธรรม ผิดกับจำพวกสัตว์ที่กินสัตว์มาก เครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ และคดีอาชญา อันร้ายแรงในโลกนี้ เกิดจากคนที่กินเนื้อสัตว์โดยมาก มนุษย์ยิ่งกินเนื้อสัตว์ ก็ยิ่งดุร้ายมากขึ้นทุกวันๆ ไม่มีเขตจำกัดว่า จะสิ้นสุดลงเพียงใด

5. ถูกศีลธรรม ไม่เบียดเบียนเลือดเนื้อของผู้อื่น ความเมตตากรุณาของท่าน จะผลิดอกออกผล แตกกิ่งก้านสาขาบริบูรณ์ ได้ผลลัพธ์แก่สัตว์ทั้งหลายโดยเต็มที่ ก็เมื่อท่านเสพเฉพาะแต่อาหารธรรมชาติเท่านั้น

6. ไม่เปลืองทรัพย์ เพราะอาหารธรรมชาติถูกกว่าเนื้อสัตว์ เราจะออมสตางค์ไว้เหลือทำบุญ และทำประโยชน์อื่นๆ ได้ปีละหลายๆ ร้อยบาททีเดียว

7. ตัณหาราคะเบาบาง สัตว์ที่กินอาหารธรรมชาติต่างๆ มีความรู้สึกตัณหาราคะ เพียงหน้าเดียวในปี เฉพาะแต่เมื่อถึงฤดูจะแผ่เผ่าพันธุ์เท่านั้น เมื่อตั้งท้องแล้วก็หยุด ไม่ส้องเสพประเวณีต่อไปอีกเลย ส่วนมนุษย์ ไม่ค่อยจะมีข้อยกเว้นในสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ยิ่งกินสัตว์มาก ยิ่งมีตัณหาราคะมาก ไม่เป็นเมื่อ เป็นคราว เหมือนสัตว์ จนต้องมีฮาเร็ม และมีโรงหญิงนครโสเภณี เป็นเครื่องบำเรอกาม

8. เมื่อเสพอาหารธรรมชาติครบ 7 ปี ร่างกายเราจะบริสุทธิ์ ไม่มีเลือดเนื้อของผู้อื่น เท่ากับล้างป่าช้า ใหญ่โตที่สุดในโลก ซึ่งฝังซากศพของสัตว์ต่างๆ ไม่รู้จักเต็มสักที ให้สะอาดบริสุทธิ์ แต่กลับฝังอาหารธรรมชาติต่างๆ ลงไปแทนที่ เพราะทางวิทยาศาสตร์ปรากฏว่า ร่างกายของมนุษย์ กว่าจะเปลี่ยนแปลงของเก่าหมด อยู่ในราว 7 ปีเป็นประมาณ

ตัวอย่างเช่น ท่านซื้อมีดมาเล่มหนึ่ง 3 ปีแรกตัวมีดหัก ท่านเปลี่ยนใส่ใหม่ ต่อมาอีก 2 ปีปลอกมีดเสีย เปลี่ยนใส่ใหม่ ต่อมาอีก 2 ปี ด้ามมีดเสีย ท่านต้องเปลี่ยนด้ามใหม่ พอถ้วนกำหนดครบ 7 ปี มีดเล่มนั้น กลายเป็นมีดเล่มใหม่ขึ้นอีกเล่มหนึ่งแล้ว หาใช่เล่มเก่าไม่ ร่างกายของมนุษย์เรา ก็เปลี่ยนแปลงด้วยประการฉะนี้ แต่ว่า เปลี่ยนแปลงโดยวิธีละเอียด และสุขุมกว่ากันมาก คือค่อยๆ เปลี่ยนออก ถ่ายออก ทางอุจจาระ ปัสสาวะ ทางหายใจ ทางเหงื่อ ทางขี้ไคล ค่อยเปลี่ยนค่อยไป ทีละเล็กละน้อย

9. สมกับภูมิประเทศและศาสนา เพราะประเทศของเรา ถือพระพุทธศาสนา ซึ่งเต็มไปด้วย ความเมตตากรุณาต่อสัตว์ และเต็มพร้อมไปด้วย อาหารธรรมชาตินานาชนิด ผิดกับประเทศยุโรป ซึ่งขาดแคลนอาหารเหล่านี้

10. เวลาดับชีพ ซึ่งเป็นเวลาจะเลี้ยวหัวงาน จะมีกำลังใจมั่นคง กล้าแข็งไปสู่สุคติ ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ของสัตว์ใดๆ จะมาทวงเลือดเนื้อ และชีวิตของมัน ขอให้ท่านสังเกตดู คนที่ทำบาปกรรมไว้มากๆ เมื่อเวลาจะตาย มักจะมีลางร้ายมาบอกล่วงหน้า ให้รู้หนทางที่จะต้องไปสู่กรรม เช่น นักชนไก่ ก็เอาหัวแม่มือชนกันจนเลือดไหล เจ๊กฆ่าหมู ก็ร้องเหมือนหมู และหามีดจะเชือดคอตนเอง เป็นต้น

11. เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที และเมตตากรุณา ต่อสัตว์ที่มีคุณบางจำพวก เช่น วัว ควาย ม้า ลา เป็นต้น ขอให้เราคิดดูบ้างว่า สมมุติว่า ตัวเรา ถูกนายใช้งานมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ถูกเฆี่ยน ถูกตี เหนื่อยยาก หิวข้าว หิวน้ำ ปวดหัวตัวร้อน และก็มิได้กระทำความผิดสิ่งใด แล้วยังต้องถูกฆ่า เอาเลือดเนื้อของเรา ให้นายเรากินอีก แล้วเรา จะรู้สึกอย่างไรบ้าง หรือเราจะเถียงว่า เราไม่ใช่ควาย แต่ควายก็เป็นสัตว์สี่เท้าเลี้ยงลูกด้วยนม เกิดร่วมโลก โลกเดียวกับเราเหมือนกัน ขอให้เอาอกเขา มาใส่อกเราดูบ้าง เราจะไม่มีหนทางช่วยเหลือได้อย่างอื่น นอกจากไม่กินเนื้อมันเท่านั้น

12. รสชาติของอาหารธรรมชาติ ไม่เฉียบแหลมสดคาวเหมือนเนื้อสัตว์ เวลาจะรับประทาน จะไม่จุเกินไป กระเพาะอาหาร และลำไส้จะไม่ต้องทำงานเหลือบ่ากว่าแรง อาหารที่มีรสเฉียบแหลม หรือปรุงโดยวิธีต่างๆ จนเกินไป คุณสมบัติของอาหารนั้นย่อมเสื่อมทราม เช่น ข้าวโรงสีไฟ ซึ่งขัดสีจนปลอกนอก ซึ่งเป็นชั้นสำคัญหมดไป หรือของที่ทำให้สุกหลายๆ หนถูกความร้อนมากเกินไป เป็นต้น

13. การรับประทานอาหารธรรมชาติ เรียกได้ว่า ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทต่อเหตุการณ์ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า คือในโลกนี้ก็ไม่ค่อยเกิดโรคภัย ในโลกหน้า ถ้าเผื่อบุญกรรมนรกสวรรค์มีจริงๆ เข้า เราจะต้องใช้หนี้สัตว์ หรือลำบากยากแค้นอย่างไรก็ไม่รู้ กันไว้ดีกว่าแก้

14. การเสพอาหารธรรมชาติ จะไม่มีก้างปลา หรือกระดูกสัตว์ติดคอ ให้เป็นอันตรายได้ ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ คงเคยก้างติดคอมาแล้ว ซึ่งไม่สู้จะสนุกนัก อาหารธรรมชาติ จึงเหมาะแก่ท่านนักบุญบางท่าน ที่ชอบฉันจังหันโดยวิธีสำรวม เช่น สมเด็จพระพุทธเจ้า เป็นต้น

15. การเสพอาหารธรรมชาติ ไม่เป็นการแสลงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ท่านคงจะเห็นพวกแพทย์แผนโบราณ ห้ามคนไข้ไม่ให้กินสัตว์ 4 เท้า 2 เท้า อาหารธรรมชาติ ไม่มีเชื้อโรคร้าย และไม่เป็นโรคระบาดต่างๆ เช่น เพล็ก อหิวาต์ วัณโรค และโรคเรื้อน เป็นต้น ซึ่งผิดกับเนื้อสัตว์ ที่น่ากลัวอันตรายยิ่งนัก

16. ไม่มีภัยอันตรายอย่างใด ที่จะเกิดขึ้น จากการไปจับสัตว์ หรือฆ่าสัตว์มาเป็นอาหาร ท่านคงจะเคยเห็นพวกยิงเนื้อยิงกันเอง และพวกหาปลาถูกงูกัดตายบ่อยๆ

17. ร่างกายและเลือดเนื้อ ของคนที่กินอาหารธรรมชาติ ย่อมคงทนต่อโรคภัยไข้เจ็บ ดีกว่าร่างกายและเลือดเนื้อ ของคนที่กินเนื้อสัตว์ ขอให้ท่านสังเกตดูกำลังของช้าง ม้า วัว ควาย กับเสือหรือสิงโต เป็นต้น

18. วิธีที่จะทำให้จิตใจ และร่างกายสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรจะดีเท่าการเสพอาหารธรรมชาติ ซึ่งได้รับผลดียิ่งนัก


ประโยชน์ของอาหารออแกนิค

1.การรับประทานอาหารออแกนิค นอกจากจะช่วยต้านโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็ง ภูมิแพ้ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองแล้ว ยังทำทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ดีในปริมาณที่สูงกว่าอาหารทั่วไป เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการยังคงความสมบูรณ์ และมีความสดได้นานกว่าอาหารทั่วไป

2.หากรับประทานอาหารอาหารออแกนิคตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคทั้งหลาย เช่น หอบหืด ออทิสติก ภูมิต้านทานบกพร่อง โรคมะเร็ง ที่จะเกิดขึ้นกับลูกน้อยก็จะลดลงและยังช่วยทำให้คุณแม่มีสุขภาพที่แรงอีกด้วย

3.อาหารออแกนิคจะมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าอาหารทั่วไป

4.อาหารออแกนิคผลิตมาจากกระบวนการผลิตเกษตรอินทรีย์ ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยจากการใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย ทั้งยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง สารป้องกันเชื้อรา หรือแม้แต่ปุ๋ยเคมี

5.อาหารออแกนิคมีรสชาติที่ดีกว่า มีความเป็นธรรมชาติมากกว่าอาหารที่ผลิตจากระบบเกษตรทั่วไปที่มีการใช้สารต่าง ๆ หรือแม้แต่ในด้านการแปรรูป อาหารออแกนิคก็จะผ่านการแปรรูปน้อยกว่า ทั้งนี้ก็เพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารเอาไว้ให้ได้มากที่สุด


ประโยชน์ของอาหารเสริมมีอยู่ 3 ประการ
1. ช่วยให้ร่างกายได้รับโภชนาการที่เหมาะสม เนื่องจากทุกคนมีความต้องการที่เหมือนกัน คือ สุขภาพสมบูรณ์ปราศจากโรคภัย จึงมีการคิดค้นอาหารเสริมเพื่อช่วยเพิ่มในส่วนที่ร่างกายขาดไป

2. จะมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ เพราะอาหารเสริมจะเข้าไปเสริมในส่วนที่ร่างกายขาดได้ครบถ้วนเต็มที่

3. สามารถช่วยบรรเทาหรือรักษาโรคบางชนิดแทนยาแผนปัจจุบันได้ เช่น น้ำว่านหางจระเข้รักษาอาการโรคกระเพาะ น้ำมันตับปลาค็อด (cod liver oil) ช่วยบรรเทาอาการโรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น นากจากนี้ยังพบว่ามีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาแผนปัจจุบัน


ข้อเสียของอาหารเสริม
      การกินอาหารเสริมมากเกินไป บางครั้งพบว่าทำให้เกิดโทษแก่ร่างกายและสูญเสียเงินโดยไม่จำเป็น ซึ่งมีรายงานการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารเสริมมากเกินไป อาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ เช่น วิงเวียน ปวดศีรษะ อุจจาระเป็นสีดำ ท้องผูก ท้องเสีย มีกลิ่นตัว และเหงื่อออกมาก

       ถ้าจำเป็นต้องทานอาหารเสริมและให้คุณค่าต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ควรศึกษารายละเอียดให้ดีก่อนบริโภค ควรเลือกให้เหมาะสมกับอายุและสภาพร่างกาย สภาพการดำเนินชีวิต สำหรับผู้ที่กินยาเป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ก่อน ส่วนสตรีที่มีครรภ์ก็ควรทานอาหารเสริมจำพวกวิตามินหรือกรดโฟลิกเท่านั้น แต่ขอแนะนำว่าถ้าท่านรับประทานอาหารให้ถูกต้องและครบ 5 หมู่แล้ว อาหารเสริมก็คงไม่จำเป็นอีกต่อไป แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นอีกด้วย แต่สำหรับผู้ที่ทำงานหนักหรือสุขภาพไม่แข็งแรงต้องการทานอาหารเสริมเพื่อบำรุงร่างกายก็ไม่ว่ากัน

1 ความคิดเห็น: